วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา
ข่าวดี ลูกา 18:1-8
(1)พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาเรื่องหนึ่งแก่บรรดาศิษย์เพื่อสอนว่าจำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย (2)พระองค์ตรัสว่า ‘ผู้พิพากษาคนหนึ่งอยู่ในเมืองหนึ่ง
เขาไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด
(3)หญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ในเมืองนั้นด้วย นางมาพบเขาครั้งแล้วครั้งเล่าพูดว่า
“กรุณาให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันสู้กับคู่ความเถิด”
(4)ผู้พิพากษาผู้นั้นไม่ยอมทำตามที่นางขอร้องจนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง
จึงคิดว่า “แม้ว่าฉันไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด (5)แต่เพราะหญิงม่ายผู้นี้มาทำให้ฉันรำคาญ
ฉันจึงจะให้นางได้รับความยุติธรรม เพื่อมิให้นางรบเร้าฉันอยู่ตลอดเวลา”’ (6)องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมคนนั้นพูดซิ
(7)แล้วพระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่ผู้เลือกสรรที่ร้องหาพระองค์ทั้งวันทั้งคืนดอกหรือ พระองค์จะไม่ทรงช่วยเขาทันทีหรือ
(8)เราบอกท่านทั้งหลายว่าพระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่เขาโดยเร็ว
แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา จะทรงพบความเชื่อในโลกนี้หรือ’
*******************************
พระเยซูเจ้าทรงระบุวัตถุประสงค์ในการเล่าอุปมาเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนคือ
“จำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย”
(ลก 18:1)
“เสมอ” ตรงกับภาษากรีก pántote (พานตอแต) บ่งบอกถึงการภาวนาโดยสม่ำเสมอด้วยความพากเพียร
ต่างจาก ádialeíptōs (อาดีอาเลฟโตส) ใน 1 ธส 5:17
ซึ่งหมายถึงการภาวนาโดยไม่รู้จักหยุด
แปลว่า พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้เราภาวนายืดยาวไม่รู้จักหยุด
แต่ทรงปรารถนาให้เราภาวนาบ่อย ๆ ด้วยความสม่ำเสมอและพากเพียรไม่ท้อถอย !!
ผู้พิพากษา ในอุปมาเรื่องนี้ไม่ใช่ชาวยิวแน่นอน เพราะชาวยิวไม่นิยมนำคดีความขึ้นศาลให้ผู้พิพากษาตัดสิน
แต่จะนำไปให้ผู้อาวุโสชี้ขาด และในการพิจารณาคดีของชาวยิว
ผู้อาวุโสต้องประกอบด้วยองค์คณะอย่างน้อย 3 คน คนหนึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายโจทก์
อีกคนหนึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายจำเลย ส่วนคนที่สามได้รับการแต่งตั้งโดยอิสระ
เหมือนระบบอนุญาโตตุลาการในบ้านเรา
สันนิษฐานว่าผู้พิพากษาคนนี้เป็นหนึ่งในบรรดาข้าราชการที่แต่งตั้งโดยโรมหรือกษัตริย์เฮโรดให้ทำหน้าที่พิพากษา
ซึ่งผลงานของพวกเขาขึ้นชื่อลือชามากในเรื่องการรับสินบน หากโจทก์ไม่จ่ายสินบนก็อย่าหวังเลยว่าคดีจะคืบหน้า และบางครั้งพวกเขาบิดเบือนความยุติธรรมเพื่อแลกกับเนื้อเพียงจานเดียว
ชาวยิวเอือมระอากับพฤติกรรมของผู้พิพากษากลุ่มนี้
ถึงกับล้อเลียนพวกเขาด้วยการเปลี่ยนชื่อตำแหน่งทางการจาก Dayyaneh
Gezeroth (ดัยยาเนห์ เกเซรอธ) ซึ่งหมายถึง “ผู้พิพากษาลงโทษ” เป็น Dayyaneh
Gezeloth (ดัยยาเนห์ เกเซลอธ) เพื่อหมายถึง
“ผู้พิพากษาโจร”
หญิงม่าย เป็นสัญลักษณ์ของคนยากจนและปกป้องตัวเองไม่ได้
พระเจ้าจึงเอาพระทัยใส่พวกนางเป็นพิเศษถึงกับตรัสสั่งว่า
“ท่านจะต้องไม่ข่มเหงหญิงม่ายหรือลูกกำพร้า
ถ้าท่านข่มเหงเขา เขาจะร้องขอความช่วยเหลือจากเรา
เราจะฟังเสียงร้องขอของเขาอย่างแน่นอน เราจะโกรธมาก และจะฆ่าท่านให้ตายในสงคราม ภรรยาของท่านจะต้องเป็นม่าย
และลูกของท่านจะเป็นกำพร้า” (อพย 22:21-23)
นักบุญยากอบเสริมว่า
“ความเลื่อมใสศรัทธาบริสุทธิ์และไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าพระบิดา
คือการเยี่ยมเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน” (ยก
1:27)
แต่เนื่องจากผู้พิพากษาคนดังกล่าว
“ไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด” (ลก 18:2) กอปรกับหญิงม่ายไร้ทั้งเงินและอิทธิพล จึงดูเหมือนว่านางหมดหวังโดยสิ้นเชิงที่จะได้รับความยุติธรรมจากผู้พิพากษาคนนี้
กระนั้นก็ตาม
สิ่งเดียวที่นางมีคือความเพียร !
นางมาพบผู้พิพากษาครั้งแล้วครั้งเล่าพูดว่า
“กรุณาให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันสู้กับคู่ความเถิด” (ลก 18:3)
เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง
ผู้พิพากษาคนนั้นจึงคิดว่า “แม้ว่าฉันไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด แต่เพราะหญิงม่ายผู้นี้มาทำให้ฉันรำคาญ
ฉันจึงจะให้นางได้รับความยุติธรรม เพื่อมิให้นางรบเร้าฉันอยู่ตลอดเวลา”
(ลก 18:4-5)
เขายอมจำนนต่อความเพียรของนาง
!
อุปมาเรื่องนี้ไม่ต้องการเปรียบเทียบความ
“เหมือน” แต่ต้องการชี้ให้เห็นความ “แตกต่าง” อย่างสุดขั้วระหว่างพระเจ้ากับผู้พิพากษาอธรรม
ประเด็นแรก ผู้พิพากษาในอุปมาเป็นคนโลภ รับสินบน
บิดเบือนความจริง หากินบนความทุกข์ร้อนของคนอื่น
ส่วนพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา
พระองค์ทรงเป็นองค์ความดีบริบูรณ์อย่างไม่มีขอบเขต
ประเด็นที่สอง
ผู้พิพากษาไม่รู้จักหญิงม่ายผู้ยากจนและต่ำต้อยคนนี้มาก่อน จึงไร้ความผูกพันอันใดต่อกันทั้งสิ้น
ส่วนเราเป็นบุตรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเลือกสรร
มีหรือที่พระองค์จะทอดทิ้งหรือไม่รักและหวงแหนเรา
?
ในเมื่อผู้พิพากษาอธรรมยังยินยอมให้ความยุติธรรมแก่หญิงม่ายเพราะทนความเพียรของนางไม่ได้ ไหนเลยพระเจ้าผู้ทรงเป็น “บิดา” ที่รักและห่วงใยลูก
จะไม่เต็มพระทัยมอบทุกสิ่งที่ลูกต้องการดอกหรือ ?
คำถามนี้ไม่ต้องเดาคำตอบเลย
เพราะพระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่าพระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่เขาโดยเร็ว” (ลก 18:8)
“โดยเร็ว” ตรงกับคำกรีก táchei
(ตาเคิย) หมายถึง “ในไม่ช้า” หรือ “ในเวลาอันสั้น” ไม่ใช่หมายถึง “ทันที”
(เทียบ กจ 12:7; 22:18; 25:4)
จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่เราจะคาดหวังว่า
“ขอปุ๊บต้องได้ปั๊บ” แล้วพาลบ่นว่าพระเจ้าว่าทำไมไม่สดับฟังคำอธิษฐานภาวนาของเราสักที
!
อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงมีเหตุผลที่
“ดีที่สุด” สำหรับเราเสมอ...
บ่อยครั้งไปที่พ่อแม่ปฏิเสธคำขอของลูกเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ขอนั้นก่อให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดี
เช่นลูกขอเงินซื้อยาบ้า เล่นเกม เล่นการพนัน เป็นต้น
พระเจ้าทรงเป็นเช่นเดียวกัน
พระองค์จะไม่ประทานสิ่งที่เป็นผลร้ายแก่บรรดาบุตรของพระองค์เด็ดขาด
!
อีกเหตุผลหนึ่งคือเราไม่รู้อนาคต เราไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าหรืออีกหนึ่งวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
?
แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้อนาคต
พระองค์ทรงทราบดีว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา “ในระยะยาว” พระองค์จึงไม่ประทานสิ่งที่ฉาบฉวยหรือเป็นเพียงผักชีโรยหน้าแก่เรา
!
ขอเพียงให้เราวางใจและพากเพียรในการสวดภาวนา อีกทั้งมั่นคงในความเชื่อ เพื่อว่าเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา
จะทรงพบความเชื่อในโลกนี้ (ลก 18:8)
และหนทางหนึ่งที่จะรักษาความเชื่อไว้ได้ก็คือ
ลงท้ายคำภาวนาของเราทุกครั้งว่า “พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน
เหมือนในสวรรค์” (มธ 6:10)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น