อาทิตย์ที่
31 เทศกาลธรรมดา
ข่าวดี ลูกา 19:1-10
(1)พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น (2)ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส
เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมั่งมี
(3)เขาพยายามมองดูว่าใครคือพระเยซูเจ้า แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมีคนมากและเพราะเขาเป็นคนร่างเตี้ย (4)เขาจึงวิ่งนำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ
เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า
(5)เพราะพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านไปทางนั้น
เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่น
ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขาว่า ‘ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้’ (6)เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี (7)ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า ‘เขาไปพักที่บ้านคนบาป’ (8)ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า
‘พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน
และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า’ (9)พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘วันนี้ ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วย
(10)บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและเพื่อช่วยผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น’
************************
เมืองเยรีโคตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน
จึงเป็นศูนย์กลางเชื่อมเส้นทางระหว่างกรุงเยรูซาเล็มกับดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนเข้าด้วยกัน
เยรีโคยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นปาล์ม
อินทผลัม ยางไม้หอม และกุหลาบ จนได้รับการขนานนามว่า “เมืองแห่งต้นปาล์ม”
โยเซฟุส
นักประวัติศาสตร์ชาวยิวถึงกับเรียกเมืองเยรีโคว่าเป็น “ดินแดนของพระเจ้า” และ “เมืองที่มั่งคั่งที่สุดในปาเลสไตน์”
ด้วยเหตุที่เป็นศูนย์กลางของการเดินทางและการค้าขายกับดินแดนทางตะวันออก
กอปรกับธรรมชาติเอื้ออำนวยให้มีความอุดมสมบูรณ์ เยรีโคจึงเป็นศูนย์กลางการเก็บภาษีที่สำคัญที่สุดในปาเลสไตน์
เดิมทีโรมเก็บภาษีบรรดาเมืองขึ้นซึ่งรวมถึงปาเลสไตน์ด้วยโดย
“การให้สัมปทาน” แต่ละเขตแก่ผู้ที่เสนอผลประโยชน์สูงสุดแก่โรม
ตราบใดที่ผู้ได้รับสัมปทานสามารถส่งภาษีได้ครบตามสัญญา
โรมจะให้สิทธิพวกเขาเก็บภาษีหรือขูดรีดอะไรก็ได้จากประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตนั้น
โดยที่ประชาชนแทบไม่รู้เลยว่าภาษีที่พวกเขาต้องจ่ายตามกฎหมายมีอะไรบ้าง เพราะสมัยนั้นยังไม่มีหนังสือพิมพ์
วิทยุ หรือโทรทัศน์
แน่นอนว่าผู้รับสัมปทานแต่ละรายต่างนำสิทธิที่ได้รับจากโรมไปใช้ในทางที่ผิดจนเกิดปัญหาตามมามากมาย
ที่สุดโรมจึงยกเลิกระบบดังกล่าวและหันมาจัดเก็บภาษีเอง
กระนั้นก็ตามคนเก็บภาษีซึ่งแม้จะทำงานให้โรมโดยตรงก็ยังไม่ยอมละทิ้งวัฒนธรรมดั้งเดิม
นั่นคือทั้งโลภ ทั้งโกง และทั้งแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน
ภาษีที่ต้องจ่ายมี
2 ประเภท ประเภทแรกคือภาษีรัฐ ตัวอย่างเช่น ภาษีรายหัวที่ชายอายุ 14-65 ปีและหญิงอายุ
12-65 ปีทุกคนต้องจ่ายเป็นรายปี
ภาษีที่ดินร้อยละสิบหากปลูกข้าว ถ้าปลูกองุ่นและน้ำมันร้อยละยี่สิบ ภาษีเงินได้ร้อยละหนึ่ง เป็นต้น ภาษีประเภทนี้ไม่ค่อยมีการบิดเบือนมากนัก
ภาษีประเภทที่สองคือภาษีอากรที่เหลือทุกชนิด
เช่นภาษีการใช้ถนน ท่าเรือ ตลาด ภาษีนำเข้าและส่งออก
รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าบางชนิด
ยกตัวอย่างเฉพาะภาษีการใช้ถนนซึ่งเรียกเก็บตามจำนวนล้อและชนิดของสัตว์ที่ใช้ลากจูงเกวียน
การลงบัญชีจำนวนล้อหรือชนิดของสัตว์ว่าก่อให้เกิดความเสียหายต่อถนนมากน้อยเพียงใดล้วนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคนเก็บภาษี นอกจากนั้นคนเก็บภาษียังมีอำนาจสั่งให้หยุดเกวียนกลางถนน
แล้วรื้อหีบห่อสินค้าต่าง ๆ เพื่อตรวจเก็บภาษีตามความพอใจ หากประชาชนมีเงินไม่พอจ่ายค่าภาษี พวกเขายังเตรียมเงินไว้ให้กู้ยืมด้วยอัตราดอกเบี้ยที่แพงลิบลิ่ว
คนเก็บภาษีจึงมีฐานะทางเศรษฐกิจร่ำรวยมาก
แต่ฐานะทางสังคมกลับตกต่ำที่สุด เพราะชาวยิวพากันเกลียดชังและจัดชั้นพวกเขาให้อยู่กลุ่มเดียวกันกับโจรและฆาตกร
ที่สำคัญศักเคียสไม่ใช่คนเก็บภาษีธรรมดา
แต่เป็นถึงหัวหน้าคนเก็บภาษีของเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในปาเลสไตน์
ความร่ำรวยของศักเคียสจึงไม่ต้องพูดถึง
!
และกับศักเคียสที่ชาวยิวถือว่าเลวเทียบเท่าโจรและฆาตกรนี้เอง
ที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วันนี้ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว” (ลก 19:9)
เกิดอะไรขึ้นกับศักเคียสหรือ
?
ประการแรก ศักเคียสร่ำรวยแต่ไม่มีความสุข
เขาโดดเดี่ยวเพราะเลือกอาชีพที่ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย ความร่ำรวยไม่ช่วยให้เขามีความสุข เงินทองไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับเขา
โชคดีที่เขาได้ยินมาว่าคนชื่อ
“เยซู” ต้อนรับคนเก็บภาษีและคนบาป
เขาจึงอยากรู้ว่าพระองค์จะตรัสกับเขาว่าอย่างไร
?
ด้วยเหตุที่ผู้คนพากันดูหมิ่นและเกลียดชัง
ศักเคียสจึงพยายามแสวงหาความรักของพระเจ้ามาเติมเต็มชีวิตของเขา
ประการที่สอง เมื่อศักเคียสตั้งใจพบพระเยซูเจ้า
เขาไม่ยอมให้สิ่งใดมาหยุดยั้ง !
ด้วยความที่เป็นคนร่างเตี้ยและเป็นที่เกลียดชังของผู้คนทั่วไป
การฝ่าฝูงชนมากมายเข้าพบพระเยซูเจ้าจึงต้องถือว่าเป็นความกล้าหาญชาญชัยอย่างยิ่ง เพราะฝูงชนคงไม่ยอมพลาดโอกาสทองที่จะประเคนทั้งศอก
ทั้งเข่าใส่เขาอย่างเมามัน และเขาคงต้องกลับบ้านพร้อมกับรอยฟกช้ำดำเขียวทั้งตัว
แต่ศักเคียสไม่ยอมให้โอกาสที่จะพบพระเยซูเจ้าซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อมหลุดลอยไปเด็ดขาด
แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตฟันฝ่าอุปสรรคใหญ่หลวงเพียงใดก็ตาม “เขาจึงวิ่งนำหน้าไป
ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า” (ลก 19:4)
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนร่างเตี้ยอย่างเขา
!
ประการที่สาม เมื่อได้พบพระเยซูเจ้า
ศักเคียสเปลี่ยนชีวิตใหม่หมด
เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาว่า
“ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” (ลก 19:5) ศักเคียสค้นพบทันทีว่าเขาได้
“เพื่อนใหม่”
ที่วิเศษสุดแล้ว
เขาตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตทันที
!
เขายกสมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน
อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือก็ไม่ได้เก็บไว้ใช้เอง
แต่เพื่อชดใช้ความเสียหายสี่เท่าแก่คนที่เขาได้โกงมา (ลก 19:8)
การชดใช้ “สี่เท่า” ถือว่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้มาก !
กฎหมายกำหนดว่า “ถ้าผู้ใดขโมยโคหรือแกะไปฆ่าหรือขาย
ผู้นั้นจะต้องชดใช้ในอัตราโคห้าตัวต่อโคหนึ่งตัว (หนึ่งตัวทดแทนโคที่ถูกฆ่าหรือขาย
อีกสี่ตัวเป็นค่าปรับ - ผู้เขียน) แกะสี่ตัวต่อแกะหนึ่งตัว (ค่าปรับสามเท่า)” (อพย 21:37) แต่ “ถ้าพบสัตว์ที่เขาขโมยไปยังมีชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเป็นโค
ลาหรือแกะ เขาจะต้องชดใช้เป็นสองเท่า” (อพย 22:3)
แต่ถ้าขโมยสำนึกผิดและนำสิ่งของที่ได้มาไปคืนเจ้าของดังเช่นกรณีของศักเคียส
“เขาจะต้องนำทุกสิ่งที่เขาได้มาไปคืนแก่เจ้าของ
เพิ่มค่าปรับอีกหนึ่งในห้าของราคาสิ่งของเหล่านั้น” (อพย 5:24)
แต่ศักเคียสพร้อมชดใช้ความเสียหายหรือค่าปรับสี่เท่าในทุกกรณี
ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนดถึงยี่สิบเท่า !!
ศักเคียสไม่เพียงเปลี่ยนแปลงความคิดและจิตใจเท่านั้น
แต่เขาเปลี่ยนแปลงการกระทำด้วย
เขาทำให้เห็นว่า คำพูดยืนยันใด
ๆ ย่อมไร้ค่าหากปราศจากการกระทำ !
เช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เพียงคำพูด
แต่ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิต
นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้พระองค์ตรัสว่า
“วันนี้ ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว” !!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น