หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2565

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา ปี C

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2022

สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา ปี C

**************************************


พระวาจาของพระเจ้า

บทอ่านที่ 1        ปชญ. 9:13-18ข

ปรีชาญาญกล่าวว่า มนุษย์ใดจะรู้จักพระประสงค์ของพระเจ้าได้ ผู้ใดจะเข้าใจได้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์สิ่งใด

        มนุษย์ผู้รู้ตาย ใช้เหตุผลอย่างไม่มั่นใจ ความคิดของเราก็ไม่แน่นอน เพราะร่างกายที่เสื่อมสลายได้นี้ ถ่วงวิญญาณและร่างกาย ซึ่งเป็นเสมือนที่พำนักทำด้วยดินของวิญญาณ ก็ถ่วงจิตใจที่มีความคิดหนักอยู่แล้ว

        การจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ของโลกนี้ยากมาก การจะพบสิ่งที่อยู่แค่เอื้อมก็ยากหนักหนา แล้วผู้ใดจะค้นพบสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ได้

        ผู้ใดจะล่วงรู้พระประสงค์ของพระองค์ได้ ถ้าพระองค์ไม่ประทานพระปรีชาญาณให้เขา ถ้าพระองค์ไม่ทรงส่งพระจิตศักดิ์สิทธิ์ลงมาจากเบื้องบน

        วิถีทางของชาวโลกถูกดัดให้ตรงเช่นนี้ มนุษย์ได้รับการสั่งสอนให้รู้ถึงสิ่งที่พอพระทัย

 (พระวาจาพระเจ้า) 

บทอ่านที่ 2        ฟม. 1:9-10, 12-17

9 แต่​ข้าพ​เจ้า​ก็​เลือก​ที่​จะ​ขอร้อง​ให้​ท่าน​ทำ​ด้วย​ความ​รัก​มาก​กว่า ผู้​ที่​ขอร้อง​นี้​คือ​ข้าพ​เจ้า เปาโล ซึ่ง​เป็น​คนชรา​และ​ขณะนี้​เป็น​นักโทษ​เนื่องจาก​พระ​คริสต​เยซู​ด้วย 10 ข้าพ​เจ้า​ขอร้อง​ท่าน​เพื่อ​บุตร​คน​หนึ่ง​ของ​ข้าพ​เจ้า ซึ่ง​ข้าพ​เจ้า​ได้​ให้​กำเนิด3 ขณะที่​ถูก​จองจำ​คือ​โอ​เน​สิ​มัส 

12 ข้าพ​เจ้า​กำลัง​ส่ง​เขา​กลับ​มา​หา​ท่าน นั่น​คือ​ข้าพ​เจ้า​ส่ง​ดวงใจ​ของ​ข้าพ​เจ้า​มา​ด้วย 13 อันที่จริง​แล้ว ข้าพ​เจ้า​ต้อง​การ​ให้​เขา​อยู่​กับ​ข้าพ​เจ้า​ที่นี่ เขา​จะ​ได้​รับใช้​ข้าพ​เจ้า​แทน​ท่าน​ขณะที่​ข้าพ​เจ้า​ถูก​จองจำ​เพราะ​ข่าว​ดี 14 แต่​ข้าพ​เจ้า​ไม่​ต้อง​การ​ทำ​สิ่งใด​โดย​ท่าน​ไม่​เห็นชอบ เพื่อ​มิ​ให้​ท่าน​ทำ​ความ​ดี​เพราะ​ถูก​บังคับ แต่​ทำ​ด้วย​ความ​สมัครใจ 15 ข้าพ​เจ้า​คิด​ว่า เขา​ถูก​พราก​ไป​จาก​ท่าน​ระยะ​หนึ่ง5 เพื่อ​จะ​กลับ​มา​อยู่​กับ​ท่าน​ตลอดไป 16 มิใช่​ใน​ฐานะ​ทาส แต่​ใน​ฐานะ​ที่​ดี​กว่า​มาก คือ​เป็น​น้อง​ชาย​ที่รัก ถ้า​เขา​เป็น​ที่รัก​อย่างยิ่ง​ของ​ข้าพ​เจ้า เขา​จะ​ต้อง​เป็น​ที่รัก​ของ​ท่าน​มาก​กว่า​สัก​เท่าใด​เล่า ทั้ง​ใน​ฐานะ​ที่​เป็นเพื่อน​มนุษย์​และ​ใน​ฐานะ​ที่​เป็น​พี่​น้อง​ใน​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า6  17 ถ้า​ท่าน​ยัง​ยอมรับ​ว่า​ข้าพ​เจ้า​เป็นมิตร​กับ​ท่าน ก็​จง​ต้อนรับ​เขา​เช่น​เดียว​กับที่​ท่าน​จะ​ต้อนรับ​ข้าพ​เจ้า

(พระวาจาพระเจ้า)


พระวรสาร         ลก. 14:25-33

ข่าวดี  ลูกา 14:25-33

(25)ประชาชนจำนวนมากกำลังเดินไปกับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงหันพระพักตร์มาตรัสกับเขาทั้งหลายว่า  (26)ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้  (27)ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้เช่นเดียวกัน

(28)ท่านที่ต้องการสร้างหอคอย จะไม่คำนวณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอสร้างให้เสร็จหรือไม่  (29)มิฉะนั้นเมื่อวางรากฐานไปแล้ว แต่สร้างไม่สำเร็จ ทุกคนที่เห็นจะหัวเราะเยาะเขา พูดว่า  (30)คนนี้เริ่มก่อสร้าง แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้  (31)หรือกษัตริย์ที่ทรงยกทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง จะไม่ทรงคำนวณก่อนหรือว่า ถ้าใช้กำลังพลหนึ่งหมื่นคน จะเผชิญกับศัตรูที่มีกำลังพลสองหมื่นคนได้หรือไม่  (32)ถ้าไม่ได้  ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังอยู่ห่างไกล พระองค์จะได้ทรงส่งทูตไปเจรจาขอสันติภาพ  (33)ดังนั้น ทุกท่านที่ไม่ยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้

 

**************************

 

          ประชาชนจำนวนมากกำลังเดินไปกับพระเยซูเจ้า โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม (ลก 14:25)

          พระองค์ตระหนักดีว่า ไปกรุงเยรูซาเล็มก็คือไปตายบนไม้กางเขน !

          แต่ประชาชนที่เดินตามพระองค์ไม่ได้คิดเช่นนั้น  พวกเขาคิดว่าพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรวบรวมกำลังพลสำหรับกอบกู้เอกราชจากโรม และนำพาชนชาติยิวให้กลับมายิ่งใหญ่เกรียงไกรดุจเดียวกับยุคสมัยของกษัตริย์ดาวิด บรรพบุรุษของพระองค์

พระองค์จึงต้องเปลี่ยนความคิดของพวกเขาด้วยการตรัสว่า ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้   ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้เช่นเดียวกัน (ลก 14:26-27)

หลายคนบ่นว่าพระวาจาครั้งนี้ กระด้าง จัง ใครจะฟังได้ ?!

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น หากแปลตรงตัวตามต้นฉบับภาษากรีก เราจะได้ความว่า ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่เกลียดบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้

และเพราะมีบางคนแปลตรงตัวเช่นนี้เอง  ศาสนาคริสต์จึงตกเป็นจำเลยของสังคมในข้อหาสอนให้เกลียดชังบิดามารดาของตน

อันที่จริงนี่คือเสน่ห์ของภาษาฮีบรู ภาษากรีก และภาษาทางตะวันออกอื่น ๆ ที่นิยมพูดจาให้ เห็นจริงเห็นจัง มากที่สุดเท่าที่สติปัญญาของมนุษย์จะจินตนาการได้

คำ เกลียด จึงถูกนำมาใช้เพื่อให้ผู้ฟังจินตนาการเห็นจริงเห็นจังว่า หากผู้ใดไม่พร้อมเสียสละทุกสิ่งที่ตนรัก รวมถึงหนทางสู่อำนาจและความยิ่งใหญ่ทางโลก เพื่อมาร่วมชะตากรรมแบบเดียวกับที่พระองค์กำลังจะได้รับในกรุงเยรูซาเล็ม ผู้นั้นย่อมเป็นศิษย์ของพระองค์ไม่ได้

คำ เกลียด ในที่นี้บ่งชี้ถึง การไม่มีพันธะผูกพัน เพื่อเราจะมีอิสระในการร่วมชะตากรรม แบกไม้กางเขน กับพระเยซูเจ้า  หาได้มีเจตนายุยงปลุกปั่นให้ผู้หนึ่งผู้ใดเกลียดชังบิดามารดา ภรรยา บุตร หรือพี่น้องชายหญิงของตนแต่ประการใดไม่ !!!

นอกจากจะเป็นวิธีพูดเพื่อให้เห็นจริงเห็นจังแล้ว  เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ พระคัมภีร์ใช้คำ เกลียด เพื่อหมายถึง รักน้อยกว่า เท่านั้นเอง

          ตัวอย่างเห็นได้จากการใช้คำ sanē’ (ซาเน) ในภาษาฮีบรู  และ miséō (มีแซโอ) ในภาษากรีก ซึ่งต่างก็แปลว่า เกลียด เหมือนกัน

          กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของบุตรคนแรกกำหนดไว้ว่า ถ้าชายผู้หนึ่งมีภรรยาสองคน รักคนหนึ่งมากกว่าอีกคนหนึ่ง และทั้งสองคนคลอดบุตรชายให้เขา แต่บุตรชายคนแรกเป็นบุตรของภรรยาที่เขารักน้อยกว่า (ซาเน - มีแซโอ)  เมื่อชายนั้นจะแบ่งทรัพย์สมบัติให้บุตร  เขาต้องไม่คิดว่าบุตรของภรรยาที่เขารักมีสิทธิเป็นบุตรคนแรกแทนบุตรคนแรกแท้จริงที่เป็นบุตรของภรรยาที่เขารักน้อยกว่า (ซาเน - มีแซโอ)  แต่เขาต้องรับว่าบุตรของภรรยาที่เขารักน้อยกว่า (ซาเน - มีแซโอ) เป็นบุตรคนแรก และต้องแบ่งทรัพย์สินให้บุตรคนแรกนี้เป็นสองเท่าของทรัพย์สินที่ให้แก่บุตรจากภรรยาที่เขารัก เพราะบุตรคนนี้เป็นผลแรกจากความหนุ่มของเขา และมีสิทธิของบุตรคนแรก (ฉธบ 21:15-17)

หากเราแปล sanē’ (ซาเน) หรือ miséō (มีแซโอ) ตามตัวอักษรคือ เกลียด แทนคำว่า รักน้อยกว่า  ย่อมเท่ากับว่าชาวยิวถูกบังคับให้ยกทรัพย์สินถึงสองเท่าให้แก่ลูกของคนที่ตนเกลียดชัง ซึ่งถือว่าผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้  จึงบ่งบอกวัตถุประสงค์ 2 ประการด้วยกัน กล่าวคือ

ประการแรก ให้เรา รักผู้อื่นน้อยกว่าพระองค์ เพื่อจะเป็นอิสระจากพันธะทั้งปวงและสามารถดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์ได้

ประการที่สอง ให้เรา รักพระองค์มากกว่าผู้อื่น ซึ่งหากฟังผ่าน ๆ ดูเหมือนจะเป็นการเห็นแก่ตัวเหลือเกิน !

แต่พระองค์ตรัสเช่นนี้ก็เพราะทรงปรารถนาดีและทรงรักเราจริง !!

เพราะความรักตามประสามนุษย์ย่อมมีความเห็นแก่ตัวเจือปนอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย  คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ชายหญิงที่บอกว่ารักกันปานจะกลืนกินนั้น จริง ๆ แล้วต่างฝ่ายต่างคิดถึงความสุขและความมั่นคงของตนเองด้วยกันทั้งนั้น

ต่อเมื่อเรารักพระเยซูเจ้าเหนืออื่นใด  ความรักแบบ agapē  (อากาเป) ของพระองค์จะเปลี่ยนความรักที่เจือปนด้วยความเห็นแก่ตัวของเรา ให้เป็นความรักที่มีแต่ ให้ และคิดคำนึงถึงความดีและความสุขสูงสุดของผู้อื่นเป็นที่ตั้ง

เมื่อต่างคนต่างคิดถึงผู้อื่นก่อนเช่นนี้  ครอบครัวที่มีพระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลางจึงมีความมั่นคง และดำรงอยู่ในความรักเป็นนิตย์ !

 

          อนึ่ง เมื่อพระองค์ตรัสว่า ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้ (ลก 14:27)  พระองค์กำลังบอกเราว่า

          ไม่ใช่ทุกคนที่เดินตามพระองค์จะเป็นศิษย์ของพระองค์ !!

          ดุจเดียวกับชาวยิวจำนวนมากที่เดินตามพระองค์ไปกรุงเยรูซาเล็มโดยไม่รู้วัตถุประสงค์ของพระองค์ และไม่พร้อมจะแบกกางเขนร่วมกับพระองค์

พวกเขาเป็นได้เพียงผู้ติดตาม แต่หาใช่ศิษย์ของพระองค์ไม่

น่าเสียดายที่ปัญหาของชาวยิวเมื่อสองพันปีก่อน  ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของเราตราบจนถึงทุกวันนี้  นั่นคือ มีผู้รับศีลล้างบาปเข้าเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรคาทอลิกจำนวนมากมายทั่วโลก  แต่มีสักกี่คนที่เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า ?

          ก่อนที่จะหันไปดูคนรอบข้างว่าเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า หรือเป็นเพียงผู้ผ่านการรับศีลล้างบาปเท่านั้น  เราควรตรวจสอบตนเองก่อนว่า ได้มาตรฐานหรือไม่ ?

          มาตรฐานในการเป็น ศิษย์พระเยซูเจ้า คือ แบกกางเขน และ ติดตามพระองค์

          ชาวยิวซาบซึ้งถึงความร้ายกาจของ กางเขน เป็นอย่างดี  เมื่อยูดาสชาวกาลิลีก่อการกบฏ  แม่ทัพโรมันชื่อวารูสได้ตรึงกางเขนชาวยิวสองพันคนเรียงรายสองข้างทางสู่แคว้นกาลิลี

          กางเขน คือฝันร้ายและความอัปยศอดสูอย่างยิ่งสำหรับชาวยิว

          แต่พระเยซูเจ้าทรงเลือก กางเขน ที่ชาวยิวถือว่าร้ายกาจและน่าอัปยศอดสูอย่างยิ่งนี้เอง เพื่อบ่งบอกว่าความรักและความปรารถนาที่จะทำให้เราเป็น วีรบุรุษ และได้รับ พระสิริรุ่งโรจน์ นั้น ยิ่งใหญ่ไพศาลเพียงใด !!!

          ไม่มีผู้ใดเป็น วีรบุรุษ หากไม่ผ่าน สงคราม ฉันใด  ก็ไม่มีผู้ใดได้รับ พระสิริรุ่งโรจน์ หากไม่ผ่าน กางเขน ฉันนั้น

          สงครามยิ่งรุนแรง ความเป็นวีรบุรุษยิ่งมีความหมายมากขึ้นฉันใด  กางเขนยิ่งหนักและยิ่งอัปยศอดสู พระสิริรุ่งโรจน์ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นฉันนั้น !

          กางเขน คือความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ ซึ่งยิ่งต่อสู้และฟันฝ่าได้มากเท่าใด ยิ่งทำให้เราเข้มแข็งและพร้อมรับมือกับความทุกข์ยากแสนสาหัสมากขึ้นเท่านั้น  จนว่าจะมีสักวันหนึ่งที่เราไม่เกรงกลัวความทุกข์ยากใด ๆ อีกต่อไปแม้แต่ความตายเองก็ตาม

          นี่คือ ความมั่นคง สูงสุดในชีวิตของผู้เป็น ศิษย์พระเยซูเจ้า !!

อีกหนึ่ง กางเขน ใหญ่ที่ทุกคนต้องแบกคือ อัตตา หรือ ตัวตน ของเรานั่นเอง

เราต้อง ดิ้นรนปฏิเสธ อัตตาของเรา เพื่อเราจะมีอิสระในการ ติดตาม พระเยซูเจ้าซึ่งเป็นอีกหนึ่งมาตรฐานในการเป็นศิษย์ของพระองค์

          มีบางคนคิดว่าการติดตามพระเยซูเจ้าคือการมีกระแสเรียก จึงเป็นเรื่องของพระสงฆ์และนักบวชเท่านั้น  แต่จริง ๆ แล้วการติดตามพระองค์เป็นเรื่องของเราคริสตชนทุกคน

เพราะการติดตามพระเยซูเจ้าคือการ ดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซูเจ้าซึ่งได้แก่การ คิดเหมือนพระองค์ ปรารถนาเหมือนพระองค์ และทำเหมือนพระองค์ !

            ยิ่งดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์มากเท่าใด  อัตตาของเราจะยิ่งลดน้อยลงและพระองค์จะยิ่งครองราชย์ในตัวเราได้มากขึ้นเท่านั้น

          หากพระองค์ทรงครองราชย์ในตัวเราก็เท่ากับว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าได้รับการสถาปนาขึ้นในตัวเราแล้ว  เราเป็นสมาชิกของพระอาณาจักรสวรรค์ตั้งแต่ในโลกนี้แล้ว !!!

 

          นอกจากทรงเรียกร้องให้เราเป็น ศิษย์ของพระองค์ ไม่ใช่แค่ เดินตามพระองค์ แล้ว  พระองค์ยังทรงเตือนเราให้ คิดอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจเป็นศิษย์ของพระองค์อีกด้วย

          พระองค์ตรัสว่า ท่านที่ต้องการสร้างหอคอย จะไม่คำนวณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอสร้างให้เสร็จหรือไม่  มิฉะนั้นเมื่อวางรากฐานไปแล้ว แต่สร้างไม่สำเร็จ ทุกคนที่เห็นจะหัวเราะเยาะเขา พูดว่า คนนี้เริ่มก่อสร้าง แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้’” (ลก 14:28-30)

          หอคอยที่พระองค์ตรัสถึงคือหอคอยในสวนองุ่น ซึ่งเจ้าของสวนนิยมสร้างไว้สำหรับเฝ้าระวังมิให้ขโมยเข้ามาขโมยผลผลิตได้

          ถ้าเริ่มต้นก่อสร้างแล้วทำไม่สำเร็จเพราะเงินหมด นอกจากจะอับอายขายขี้หน้าชาวบ้านเหมือนโครงการโอปเวลล์แล้ว พวกขโมยคงขำกลิ้งให้เจ้าของสวนต้องช้ำใจยกกำลังสองเป็นแน่

          แต่พระองค์ทรงยกอุปมาเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม  พระองค์ไม่เต็มพระทัยให้เราเป็นศิษย์ของพระองค์กระนั้นหรือ ?

          หามิได้ พระองค์ทรงกล่าวเช่นนี้เพราะทรง จริงใจ กับเราต่างหาก !

พระองค์ไม่ประสงค์ใช้ คำหวาน ๆ หลอกล่อให้เราหลวมตัวมาเป็นศิษย์ของพระองค์ แต่ทรงปรารถนา ท้าทาย เราแบบสุด ๆ

          สิ่งที่พระองค์ต้องการบอกเราคือ ยากนะที่จะเป็นศิษย์ของพระองค์ เพราะต้องสละทุกสิ่งที่เรารัก ไม่เว้นแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง  ดังนั้น จงคิดให้รอบคอบ

          แต่ รอบคอบ ไม่ใช่ ท้อแท้

เราต้องไม่ท้อแท้เพราะพระองค์ตรัสสั่งให้เรา แบกกางเขนติดตามพระองค์ ไม่ใช่ให้เรา แบกกางเขนตามลำพัง

ความหมายของพระองค์ชัดเจนคือ พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งเราให้แบกกางเขนหรือเผชิญหน้ากับชะตากรรมตามลำพัง  แต่จะทรงก้าวไปพร้อมกับเราทุกก้าว

          ขอเพียงเรารับคำ ท้าทาย และกล้าทุ่มเท เกหมดหน้าตัก

เท่านั้น... !!!


ขอขอบคุณ ข้อมูลบทเทศน์   คณะกรรมการพระคัมภีร์คาทอลิก

ที่ให้ข้อคิด ข้อรำพึง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น