หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2565

25 กันยายน 2022 วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา

  25 กันยายน 2022 

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา

******************************************


พระวาจาของพระเจ้า 

บทอ่านที่ 1           อมส. 6:1ก,4-7

------------------------------

บทอ่านที่ 2          1ทธ. 6:11-16

----------------------------------

บทพระวรสาร       ลก. 16:19-31

 

ข่าวดี  ลูกา 16:19-31

          (19)เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน  (20)คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว  (21)อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี  ((22))มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา  (22)วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม  เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้ (23)เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก  (24)จึงร้องตะโกนว่า ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้  (25)แต่อับราฮัมตอบว่า ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดี ๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลว ๆ  บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน  (26)ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย  (27)เศรษฐีจึงพูดว่า ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก  (28)เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย  (29)อับราฮัมตอบว่า พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด (30)แต่เศรษฐีพูดว่า มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ  (31)อับราฮัมตอบว่า ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ

 

**************************

         

นักบุญลูกาบรรจงใช้ถ้อยคำอย่างพิถีพิถันในอุปมาเรื่องนี้ เพื่อขับเน้นความแตกต่างระหว่างสองสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันอย่างสุดขั้ว

          ขั้วแรกคือ เศรษฐี

มีคนตั้งชื่อให้เศรษฐีคนนี้ว่าดีแวส (Dives เป็นคำละตินแปลว่า รวย)  เขาเจริญชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยราวกับพิมพ์ธนบัตรได้เอง

          ตามต้นฉบับ ลูกาบรรยายถึงความหรูหราฟุ่มเฟือยของดีแวสว่า เขาแต่งกายด้วยผ้าลินินชั้นดี สีม่วง

ชุดผ้าลินินสีม่วงเป็นเครื่องแต่งกายของมหาสมณะ ซึ่งมีราคาเทียบเท่าค่าแรงงานของคนสมัยนั้นประมาณสองถึงสามปี

หากคิดค่าแรงงานขั้นต่ำในปัจจุบันที่ 180 บาทต่อวัน เครื่องแต่งกายของดีแวสจะมีราคาประมาณแสนสามหมื่นถึงเกือบสองแสนบาทต่อชุด !

          นอกจากแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพงแล้ว เขายังชอบจัด งานเลี้ยงใหญ่ (ลก 16:19)

งานเลี้ยงใหญ่ ตรงกับคำกรีก eúphraínō (เอวฟรายโน) ซึ่งบ่งบอกว่าเป็น งานช้าง ที่นาน ๆ จะได้จัดสักทีอย่างเช่นโอกาสอภิเษก ครองราชย์ หรือสมรสครบรอบ 25 และ 50 ปี  เพราะงานระดับนี้ต้องใช้อาหารชั้นดี ราคาแพง

ในฐานะเศรษฐี คงไม่น่าเกลียดหากจะจัด งานช้าง เป็นครั้งคราว แต่คุณดีแวสของเราเล่นจัดงานช้าง ทุกวัน กันเลย (ลก 16:19)

แปลว่าวันสับบาโตซึ่งห้ามทำงาน ห้ามปรุงอาหาร และห้ามแม้กระทั้งอุ่นอาหาร ดีแวสก็ละเมิดบัญญัติเพื่อจัดงานเลี้ยงใหญ่

ส่วนวันธรรมดาอีกหกวันซึ่งบัญญัติกำหนดไว้ว่า ท่านจะต้องออกแรงทำงานทั้งหมดในหกวัน (อพย 20:9) เขาก็ละเมิดด้วยการไม่ทำงาน แต่ร่วมงานเลี้ยงใหญ่แทน

          สรุปว่า ท่ามกลางสภาพสังคมที่ชาวยิวต้องทำงานหนักอาทิตย์ละหกวัน แต่มีโอกาสกินเนื้ออาทิตย์ละครั้งเดียว  เศรษฐีดีแวสจึงเป็นตำนานของคนเกียจคร้าน ไม่ทำงานทำการ ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ทำทุกสิ่งทุกอย่างตามใจตัวเอง ไม่สนใจพระเจ้า อีกทั้งไม่รู้จักเหลียวแลผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง

          ขั้วที่สองคือ ลาซารัส

Lazarus เป็นภาษาละตินจากคำฮีบรู Eleazar ซึ่งแปลว่า พระเจ้าคือความช่วยเหลือของข้าพเจ้า และเป็นตัวละครเพียงคนเดียวในบรรดานิทานเปรียบเทียบที่ได้รับการตั้งชื่อ ไม่ใช่เอ่ยลอย ๆ ว่า ขอทานคนหนึ่ง

          ใช่ ลาซารัสเป็นขอทานที่นอกจากจะยากจนแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวยังเต็มไปด้วยแผลพุพองเป็นหนอง นอนทรมานอยู่หน้าบ้านของดีแวส ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม้จะไล่สุนัขข้างถนนไม่ให้เลียแผลของเขายังไม่ได้เลย

          เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีช้อน ไม่มีซ่อม ไม่มีผ้าเช็ดปาก  ผู้คนจึงใช้มือหยิบอาหารกิน แล้วเช็ดด้วยขนมปังก้อนใหญ่ก่อนโยนทิ้ง

          ขนมปังที่ดีแวสใช้เช็ดมือแล้วโยนทิ้งนี่แหละที่ลาซารัสรอเก็บ เพื่อใช้ยังชีพ !

          นี่คือฉากเหตุการณ์บนโลกนี้….

 

          ทันทีทันใด ฉากเปลี่ยนไปเป็นเหตุการณ์ในโลกหน้า

คราวนี้ลาซารัสได้รับความบรรเทาในอ้อมอกของอับราฮัม  ส่วนดีแวสต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสในเปลวไฟ

ถามว่าดีแวสทำอะไรผิดจึงต้องรับโทษทัณฑ์เช่นนี้ ?

          มีครั้งใดบ้างที่เขาไล่ลาซารัสออกจากบ้าน ? หรือเขาเคยห้ามลาซารัสเก็บขนมปังที่เขาโยนทิ้งเมื่อใด ? หรือเคยบ้างไหมที่ลาซารัสถูกเขารังแก ?

          เปล่าเลย ดีแวสไม่ได้ทำอะไรผิดต่อลาซารัส !

แต่เขา ผิดเพราะไม่ได้ทำอะไร !

เขาไม่ได้ไล่ลาซารัสไปจากประตูบ้านของเขาก็จริง  แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่เคยเหลียวแลเอาใจใส่ลาซารัส  เขามองลาซารัสนอนซมด้วยความเจ็บปวดและหิวโหยโดยไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด

          ความผิดของเขาคือ เขาสามารถมองความทุกข์ยากและขัดสนของผู้อื่นได้ โดยที่หัวจิตหัวใจของเขาไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น

          เมื่อไม่รู้สึก เขาก็ไม่ทำอะไร....

          บาปของเขาคือ การไม่เอาใจใส่เพื่อนมนุษย์ !!

         

          เมื่อต้องทนทรมานแสนสาหัสในแดนผู้ตาย เศรษฐีจึงอ้อนวอนอับราฮัมให้ส่งลาซารัสไปเตือนพี่น้องของเขาอีกห้าคน จะได้ไม่ต้องมาทนทรมานอย่างเขา (ลก 16:27-28)

          อับราฮัมปฏิเสธพร้อมกับตอบว่า ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ (ลก 16:31)

          ฟังดูเหมือนอับราฮัมใจดำ

          แต่อับราฮัมมีเหตุผล เพราะทั้งโมเสสและบรรดาประกาศกคือผู้ที่ประกาศความจริงของพระเจ้า

          หากรู้จักความจริงว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคนมากเพียงใดแล้ว  แต่ผู้นั้นยังทนดูผู้อื่นเจ็บปวด ทรมาน โศกเศร้า หรือขัดสนได้โดยไม่รู้สึกและไม่ทำอะไร  ก็แสดงว่าจิตใจของเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว

ไม่มีใครช่วยเขาได้อีกแล้ว ต่อให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาจากความตายก็ตาม !!

เมื่อได้ฟังเหตุผลของอับราฮัมแล้ว เรายิ่งต้องคิดให้จงหนัก ด้วยว่าความรับผิดชอบของเราใหญ่หลวงกว่าของเศรษฐีและพี่น้องของเขามากมายนัก

เพราะนอกจากโมเสสและบรรดาประกาศกแล้ว เรายังมีพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็น หนทาง ความจริง และชีวิต (ยน 14:5) ได้เสด็จมาตอกย้ำความจริงด้วยชีวิตของพระองค์เองว่า พระเจ้าทรงรักเรา

          เพราะฉะนั้น หากรู้สึกและคิดจะทำอะไร ก็จงรีบทำเถิด !!!

 

 



สุขสันต์วันพระเจ้า

ขอพระเจ้าอวยพร






  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น